วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

อารยธรรมจีนโบราณ

อารยธรรมจีนโบราณ

ประเทศ จีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานที่สุดประเทศหนึ่ง โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ สามารถค้นคว้าได้บ่งชี้ว่าอารยธรรมจีนมีอายุถึง 5,000 ปี รากฐานที่สำคัญของอารยธรรมจีนคือ การสร้างระบบภาษาเขียน และการพัฒนาแนวคิดลัทธิขงจื๊อ เมื่อประมาณ ศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ. ประวัติศาสตร์จีนมีทั้งช่วงที่เป็นปึกแผ่นและแตกเป็นหลายอาณาจักรสลับกันไป ในบางครั้งก็ถูกปกครองโดยชนชาติอื่น วัฒนธรรมของจีนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อชาติอื่นๆ ในทวีปเอเชีย ซึ่งถ่ายทอดไปทั้งการอพยพ การค้า และการยึดครอง
อารยธรรมจีนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีแหล่งอารยธรรมที่สำคัญ 2 แหล่ง คือ
เครื่องปันดินเผาหยางเชา
เครื่องปั้นดินเผาหลงซาน
อักษรจีนจารึกบนกระดองเต่า

จารึกอักษรบนกระดองเต่า

จิ๋นซีฮ่องเต้

กำแพงเมืองจีน

ทหารจีนตุ๊กตาดินเผา
ภายในสุสานสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ มณฑลซีอาน
  • ลุ่มแม่น้ำฮวงโห พบความเจริญที่เรียกว่า วัฒนธรรมหยางเชา ( Yang Shao Culture ) พบหลักฐานที่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีลักษณะสำคัญคือ เครื่องปั้นดินเผาเป็นลายเขียนสี มักเป็นลายเรขาคณิต พืช นก สัตว์ต่างๆ และพบใบหน้ามนุษย์ สีที่ใช้เป็นสีดำหรือสีม่วงเข้ม นอกจากนี้ยังมีการพิมพ์ลายหรือขูดสลักลายเป็นรูปลายจักสาน ลายเชือกทาบ
  • ลุ่มน้ำแยงซี ( Yangtze ) บริเวณมณฑลชานตุงพบ วัฒนธรรมหลงซาน ( Lung Shan Culture ) พบหลักฐานที่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีลักษณะสำคัญคือ เครื่องปั้นดินเผามีเนื้อละเอียดสีดำขัดมันเงา คุณภาพดีเนื้อบางและแกร่ง เป็นภาชนะ 3 ขา
สมัยประวัติศาสตร์ของจีนแบ่งได้ 4 ยุค
  • ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชาง สิ้นสุดสมัยราชวงศ์โจว
  • ประวัติศาสตร์สมัยจักรวรรดิ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ๋น จนถึงปลายราชวงศ์ชิงหรือเช็ง
  • ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มปลายราชวงศ์เช็งจนถึงการปฏิวัติเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม
  • ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เริ่มตั้งแต่จีนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์จนถึงปัจจุบัน
อารยธรรมจีนในสมัยราชวงศ์ต่างๆ มีดังนี้
  • ราชวงศ์ชาง เป็นราชวงศ์แรกของจีน
      • มีการปกครองแบบนครรัฐ
      • มีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้เป็นครั้งแรก พบจารึกบนกระดองเต่า และกระดูกวัว เรื่องที่จารึกส่วนใหญ่เป็นการทำนายโชคชะตาจึงเรียกว่า “กระดูกเสี่ยงทาย”
      • มีความเชื่อเรื่องการบูชาบรรพบุรุษ
  • ราชวงศ์โจว
      • แนวความคิดด้านการปกครอง เชื่อเรื่องกษัตริย์เป็น “โอรสแห่งสวรรค์ สวรรค์มอบอำนาจให้มาปกครองมนุษย์เรียกว่า “อาณัตแห่งสวรรค์
      • เริ่มต้นยุคศักดินาของจีน
      • เกิดลัทธิขงจื๊อ ที่มีแนวทาง
        • เป็นแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม
        • เน้นความสัมพันธ์และการทำหน้าที่ของผู้คนในสังคม ระหว่างจักรพรรดิกับราษฎร บิดากับบุตร พี่ชายกับน้องชาย สามีกับภรรยา เพื่อนกับเพื่อน
        • เน้นความกตัญญู เคารพผู้อาวุโส ให้ความสำคัญกับครอบครัว
        • เน้นความสำคัญของการศึกษา
      • เกิดลัทธิเต๋า โดยเล่าจื๊อ ที่มีแนวทาง
        • เน้นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีระเบียบแบบแผนพิธีรีตองใดใด
        • เน้นปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ
        • ลัทธินี้มีอิทธิพลต่อศิลปิน กวี และจิตรกรจีน
      • คำสอนทั้งสองลัทธิเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน
  • ราชวงศ์จิ๋นหรือฉิน
      • จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่สามารถรวมดินแดนของจีนให้เป็นจักรวรรดิ เป็นครั้งแรกคือ พระเจ้าชิวั่งตี่ หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นผู้ให้สร้าง กำแพงเมืองจีน
      • มีการใช้เหรียญกษาปณ์ มาตราชั่ง ตวง วัด
  • ราชวงศ์ฮั่น
      • เป็นยุคทองด้านการค้าของจีน มีการค้าขายกับอาณาจักรโรมัน อาหรับ และอินเดีย โดยเส้นทางการค้าที่เรียกว่า เส้นทางสายไหม ( Silk Rood )
      • ลัทธิขงจื๊อ คำสอนถูกนำมาใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ
      • มีการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการเรียกว่า จอหงวน
  • ราชวงศ์สุย
      • เป็นยุคแตกแยกแบ่งเป็นสามก๊ก
      • มีการขุดคลองเชื่อมแม่น้ำฮวงโหกับแม่น้ำแยงซี เพื่อประโยชน์ในด้านการคมนาคม
  • ราชวงศ์ถัง
      • ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอารยธรรมจีน นครฉางอานเป็นศูนย์กลางของซีกโลกตะวันออกในสมัยนั้น
      • พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง พระภิกษุ (ถังซำจั๋ง) เดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎก ในชมพูทวีป
      • เป็นยุคทองของกวีนิพนธ์จีน กวีคนสำคัญ เช่น หวางเหว่ย หลี่ไป๋ ตู้ฝู้
      • ศิลปะแขนงต่างๆมีความรุ่งเรือง
  • ราชวงศ์ซ้อง
      • มีความก้าวหน้าด้านการเดินเรือสำเภา
      • รู้จักการใช้เข็มทิศ
      • รู้จักการใช้ลูกคิด
      • ประดิษฐ์แท่นพิมพ์หนังสือ
      • รักษาโรคด้วยการฝังเข็ม
  • ราชวงศ์หยวน
      • เป็นราชวงศ์ชาวมองโกลที่เข้ามาปกครองจีน ฮ่องเต้องค์แรกคือ   กุบไลข่าน หรือ หงวนสีโจ๊วฮ่องเต้
      • ชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อค้าขายมาก เช่น มาร์โคโปโล พ่อค้าชาวเมืองเวนีส อิตาลี
  • ราชวงศ์หมิงหรือเหม็ง
      • วรรณกรรม นิยมการเขียนนวนิยายที่ใช้ภาษาพูดมากกว่าการใช้ภาษาเขียน มีนวนิยายที่สำคัญ ได้แก่ สามก๊ก ไซอิ๋ว
      • ส่งเสริมการสำรวจเส้นทางเดินเรือทางทะเล
      • สร้างพระราชวังหลวงปักกิ่ง (วังต้องห้าม)
  • ราชวงศ์ชิงหรือเช็ง
      • เป็นราชวงศ์เผ่าแมนจู เป็นยุคที่จีนเสื่อมถอยความเจริญทุกด้าน
      • เริ่มถูกรุกรานจากชาติตะวันตก เช่น สงครามฝิ่น ซึ่งจีนรบแพ้อังกฤษ ทำให้ต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง
      • ปลายยุคราชวงศ์ชิง พระนางซูสีไทเฮาเข้ามามีอิทธิพลในการบริหารประเทศมาก
จีนยุคสาธารณรัฐและยุคคอมมิวนิสต์
  • ปลายยุคราชวงศ์ชิง ดร.ซุนยัตเซ็น จัดตั้งสมาคมสันนิบาต เพื่อล้มล้างราชวงศ์ชิง โดยประกาศ ลัทธิไตรราษฎร์ ประกอบ ด้วย 1.หลักเอกราช 2.หลักแห่งอำนาจอธิปไตยของประชาชน 3.หลักความยุติธรรมในการครองชีพ ส่วนนโยบายปฏิวัติ คือ โค่นล้มราชวงศ์แมนจู และจัดตั้งรัฐบาลประชาชน จัดตั้งรัฐบาลตามระบอบสาธารณรัฐ จัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชน และก่อตั้งพรรคชาตินิยม หรือ
    พรรคก๊กมินตั๋ง ขึ้นในที่สุด
  • ต่อมา ซุนยัตเซ็นได้ร่วมมือกับ ยวน ซีไข ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิงได้สำเร็จเปลี่ยนการปกครองเข้าสู่ระบอบสาธารณรัฐ (จักรพรรดิปูยี เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของจีน) มีการแย่งชิงอำนาจของผู้นำทางทหารเรียกว่า ยุคขุนศึก
  • ซุนยัตเซ็นได้เสนอให้ ยวน ซีไข เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีน
  • ยวน ซีไข คิดสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิและรื้อฟื้นระบบศักดินา
  • ดร.ซุนยัตเซ็น ตั้งพรรคก๊กมินตั๋ง
  • เมื่อ ยวน ซีไข เสียชีวิตลง ดร.ซุนยัตเซ็นเป็นประธานาธิบดี แต่เป็นได้ไม่นานก็เสียชีวิต
  • หลังจาก ดร. ซุนยัตเซ็น เสียชีวิต เจียงไคเช็ค ขึ้นเป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งและผู้นำจีน
  • แต่รัฐบาลเจียงไคเช็ค ประสบปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวง กดขี่ราษฎร
  • จีนเกิดการปฏิวัติอีกครั้ง โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้การนำของ เหมา เจ๋อตุง รัฐบาลเจียงไคเช็ค ต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แต่แพ้
  • เหมา เจ๋อตุง สถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ มีการจัดระเบียบสังคมใหม่ เรียกว่า การปฏิวัติทางวัฒนธรรม เพื่อต่อต้านจารีตศักดินาแบ่งชนชั้น
  • หลังจาก เหมา เจ๋อตุง เสียชีวิต เติ้งเสี่ยวผิงขึ้นเป็นผู้นำจีนแทน ประกาศพัฒนาประเทศด้วย นโยบายสี่ทันสมัย คือด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การทหาร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนภายในประเทศ รวมทั้งผ่อนปรนวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนให้คลายความเข้มงวดลง
อนุสรณ์สถานประธานเหมา เจ๋อตุง


อนุสาวรีย์วีรชนปฏิวัติของจีน

ประธาน เหมา เจ๋อตุง
ศิลปวัฒนธรรมของจีน

ภาพวาดพระถังซำจั๋ง

เส้นทางสายไหม

พระราชวังต้องห้าม

อุทยานภายในพระราชวังฤดูร้อน
  • จิตรกรรม
      • มีวิวัฒนาการมาจากการเขียนตัวอักษรจีนจารึกบนกระดูกเสี่ยงทายเพราะตัวอักษรจีนมีลักษณะเหมือนรูปภาพ
      • งานจิตรกรรมจีนรุ่งเรืองมากในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีการเขียนภาพและแกะสลักบนแผ่นหิน ที่นิยมมากคือ การเขียนภาพบนผ้าไหม ภาพวาดเป็นเรื่องเล่าในตำราขงจื๊อพระพุทธศาสนาและภาพธรรมชาติ
      • สมัยราชวงศ์ถัง มีการพัฒนาการใช้พู่กันสีและกระดาษภาพส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า
      • สมัยราชวงศ์ซ้อง จิตรกรรมจัดว่าเด่นมาก ภาพวาดมักเป็นภาพมนุษย์กับธรรมชาติ ทิวทัศน์ ดอกไม้
  • ประติมากรรม
      • ส่วนใหญ่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ทำจากดินสีแดง มีลวดลาย แดง ดำ และขาวเป็นลวดลายเรขาคณิต
      • สมัยราชวงศ์ชาง มีการแกะสลักงาช้าง หินอ่อน และหยกตามความเชื่อและความนิยมของชาวจีน ที่เชื่อว่า หยก ทำให้เกิดความเป็นสิริมงคล ความสุขสงบ ความรอบรู้ ความกล้าหาญ ภาชนะสำริดเป็นหม้อสามขา
      • สมัยราชวงศ์ถัง มีการพัฒนาเครื่องเคลือบดินเผาเป็นเคลือบ 3 สีคือ เหลือง น้ำเงิน เขียว ส่วนสีเขียวไข่กามีชื่อเสียงมากในสมัยราชวงศ์ซ้อง ส่วนพระพุทธรูปนิยมสร้างในสมัยราชวงศ์ถัง ทั้งงานหล่อสำริดและแกะสลักจากหิน ซึ่งมีสัดส่วนงดงาม เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะอินเดียและจีนที่มีลักษณะเป็นมนุษย์มากกว่า เทพเจ้า นอกจากนี้มีการปั้นรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม
      • สมัยราชวงศ์เหม็ง เครื่องเคลือบได้พัฒนาจนกลายเป็นสินค้าออก คือ เครื่องลายครามและลายสีแดง ถึงราชวงศ์ชิง เครื่องเคลือบจะนิยมสีสันสดใส เช่น เขียว แดง ชมพู
  • สถาปัตยกรรม
      • กำแพงเมืองจีน สร้างในสมัยราชวงศ์จิ๋น เพื่อป้องกันการรุกรานของมองโกล
      • เมืองปักกิ่ง สร้างในสมัยราชวงศ์หงวน โดยกุบไลข่าน ซึ่งได้รับการยกย่องทางด้านการวางผังเมือง ส่วนพระราชวังปักกิ่งสร้างในสมัยราชวงศ์เหม็ง
      • พระราชวังฤดูร้อน สร้างในสมัยราชวงศ์เช็ง โดยพระนางซูสีไทเฮา ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างยุโรปและจีนโบราณ
  • วรรณกรรม
      • สามก๊ก สันนิษฐานว่าเขียนในคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นเรื่องราวของความแตกแยกในจีนตั้งแต่ปลายสมัยราชวงศจิ๋นจนถึงราชวงศ์ฮั่น
      • ซ้องกั๋ง เป็นเรื่องประท้วงสังคม เรื่องราวความทุกข์ของผู้คนในมือชนชั้นผู้ปกครอง สะท้อนความทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองของพวกมองโกล
      • ไซอิ๋ว เป็นเรื่องราวการเดินทางไปนำพระสูตรจากสวรรค์ทางตะวันตกมายังประเทศจีน
      • จินผิงเหมย หรือดอกบัวทอง แต่งขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เป็นนิยายเกี่ยวกับสังคมและชีวิตครอบครัว เป็นเรื่องของชีวิตที่ร่ำรวย มีอำนาจขึ้นมาด้วยเล่ห์เหลี่ยม แต่ด้วยการทำชั่วและผิดศีลธรรมในที่สุดต้องด้รับกรรม
      • หงโหลวเมิ่ง หรือ ความฝันในหอแดง เด่นที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เรื่องราวเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี อิจฉาริษยากัน ผู้อ่านจะรู้สึกเศร้าสลดต่อชะตาชีวิตของพระเอกนางเอกเนื้อเรื่องสะท้อนให้ เห็นสังคมศักดินาของจีนที่กำลังเสื่อมโทรมก่อนการเปลี่ยนแปลงสังคมเข้าสู่ ยุคใหม่ บันทึกประวัติศาสตร์ ของ สื่อหม่าเฉียน
การถ่ายทอดอารยธรรมจีนสู่ดินแดนต่างๆ
      อารยธรรมจีนแผ่ขยายขอบข่ายออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในเอเชียและยุโรป อันเป็นผลมาจากการติดต่อทางการทูต การค้า การศึกษา ตลอดจนการเผยแผ่ศาสนา อย่างไรก็ตามลักษณะการถ่ายทอดแตกต่างกันออกไป ดินแดนที่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนเป็นเวลานาน เช่น เกาหลี และเวียดนาม จะได้รับอารยธรรมจีนอย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านวัฒนธรรม การเมือง ขนบธรรมเนียมประเพณี การสร้างสรรค์ และการแสดงออกทางศิลปะ ทั้งนี้เพราะราชสำนักจีนจะเป็นผู้กำหนดนโยบายและบังคับให้ประเทศทั้งสองรับ วัฒนธรรมจีนโดยตรง
     ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อารยธรรมจีนได้รับการยอมรับในขอบเขตจำกัดมาก ที่เห็นอย่างชัดเจนคือ การยอมรับระบบบรรณาการของจีน
      ในเอเชียใต้ ประเทศที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีนอย่างใกล้ชิด คือ อินเดีย พระพุทธศาสนามหายานของอินเดียแพร่หลายเข้ามาในจีนจนกระทั่งเป็นศาสนาสำคัญ ที่ชาวจีนนับถือ นอกจากนี้ศิลปะอินเดียยังมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ศิลปะบางอย่างของจีน เช่น ประติมากรรมที่เป็นพระพุทธรูป
     ส่วนภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออกกลางนั้น เนื่องจากบริเวณที่เส้นทางการค้าสานแพรไหมผ่านจึงทำหน้าที่เป็นสื่อกลางนำ อารยธรรมตะวันตกและจีนมาพบกัน อารยธรรมจีนที่เผยแพร่ไป เช่น การแพทย์ การเลี้ยงไหม กระดาษ การพิมพ์ และดินปืน เป็นต้น ซึ่งชาวอาหรับจะนำไปเผยแพร่แก่ชาวยุโรปอีกต่อหนึ่ง

พัฒนาการอารยธรรมจีน

          พัฒนาการอารยธรรมจีน ด้านการเมืองการปกครอง มีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับดังนี้
           1. ระบบกษัตริย์ เชื่อว่าจักรพรรดิเป็น “ โอรสแห่งสวรรค์ ” มีอำนาจเด็ดขาด แต่พระมหากษัตริย์ที่ไม่อาจปกครองให้เกิดความสงบสุข เที่ยงธรรม ก็อาจมีการยึด อำนาจเปลี่ยนผู้ปกครองได้
           2. ระบบศักดินาเริ่มต้นใน “ ราชวงศ์โจว ” จักรพรรดิเป็นโอรสแห่งสวรรค์ แต่ตอบแทนขุนนางด้วยการมอบที่ดินให้แต่ขุนนางต้องนำผลผลิตมาถวายกษัตริย์ และช่วยเหลือเมื่อเกิดสงคราม
           3. สมัยจักรวรรดิเริ่มต้นใน “ ราชวงศ์ฉิน ” จิ๋นซีฮ่องเต้ ทรงรวบรวมจีนเป็นจักรวรรดิมีอำนาจเด็ดขาดควบคุมดูแลดินแดนโดยตรง แต่ปกครองด้วยการยึดหลักกฎหมาย
           4. ระบบสาธารณรัฐชาติตะวันตกต้องการขยายอิทธิพลในจีน ทำให้เกิด ความกดดันการเมืองภายในการเกิดสงครามฝิ่น ระหว่างจีนกับอังกฤษ จีนแพ้ต้องทำ “ สนธิสัญญานานกิง ” จีนต้องเปิดเมืองท่าให้ชาวต่างชาติเข้าอยู่อาศัยและทำการค้า จีนต้องยอมยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษทำการเช่า และยังเกิดปัญหามากมาย ดร.ซุนยัตเซ็น ก่อการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์แมนจู จัดตั้ง ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ โดยให้ ยวน ซีไข ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ โดย เหมา เจ๋อ ตุง ใช้นโยบาย “ ก้าวกระโดดไกล ” ผู้นำคนต่อมาคือ เติ้ง เสี่ยว ผิง ใช้นโยบายพัฒนาประเทศ ที่เรียกว่า “ นโยบายสี่ทันสมัย ” ซึ่งจีนได้เปิดเสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้น
          ด้านเศรษฐกิจ
          1. พื้นฐานเศรษฐกิจจีนโบราณ เป็นเกษตรกรรม
          2. สมัยราชวงศ์ฮั่น เริ่มมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตก ทำให้เกิด “ เส้นทางสายไหม ” ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าจากจีน ไปอินเดีย อียิปต์ และโรม
          3. คริสต์ศตวรรษที่ 19 เหมา เจ๋อ ตุง ใช้นโยบาย “ ก้าวกระโดดไกล ” แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
          4. ยุค เติ้ง เสี่ยว ผิง ใช้นโยบาย “ สี่ทันสมัย ” คือ ด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การทหาร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนภายใน ประเทศ มีลักษณะผ่อนปรนมากขึ้นทำให้จีนเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว
          ด้านสังคมวัฒนธรรม
          1.สังคมจีน ประกอบด้วยกลุ่มบุคคลแยกเป็นชนชั้น ดังนี้
          * ชนชั้นขุนนาง ปัญญาชน เป็นกลุ่มผู้มาจากการสอบผ่านเข้ารับราชการเพื่อให้ได้ผู้มีความรู้และมี คุณธรรมเมื่อผู้ใดได้เป็นขุนนาง จะได้รับสิทธิยกเว้นการเกณฑ์แรงงาน ยกเว้นภาษี มีชีวิตสะดวกสบาย
           * ชนชั้นชาวนา มีจำนวนมากกว่าชนชั้นอื่นสังคมจีนเป็นสังคมเกษตรกรรม สมัยราชวงศ์โจว ชนชั้นชาวนาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ผลิต แต่กลับถูกเรียกเก็บภาษี ถูกเกณฑ์แรงงานและเกณฑ์ทหาร
          * ชนชั้นพ่อค้าและทหารตามความคิดของขงจื๊อชนชั้นนี้ไม่น่ายกย่องเพราะมิใช่ เป็นผู้ผลิต แต่พ่อค้า เป็นกลุ่มที่ร่ำรวย และการทำสงครามระหว่างเจ้าผู้ครองนคร ในสมัยราชวงศ์โจวทำให้ทหารมีความสำคัญในการป้องกันสังคมให้ปลอดภัย
          2. ครอบครัวจีน
          สังคมจีนยุคแรกสร้างอารยธรรม ถือว่าครอบครัวเป็นหน่วยทางสังคมที่เล็กที่สุด ผู้นำครอบครัว คือ บิดา ผู้นำครอบครัวเป็นผู้รับผิดชอบต่อการดำรงชีวิตของครอบครัว และรับผิดชอบต่อราชการ เช่นการเกณฑ์ทหาร การเสียภาษี คนในครอบครัวจึงต้องให้ความเคารพยำเกรงผู้นำครอบครัว นอกจากนี้คนในครอบครัวผู้น้อยต้องเคารพผู้อาวุโส
          3. ประเพณีและความเชื่อ
          คนจีนแต่โบราณจะเคารพบูชาบรรพบุรุษซึ่งเป็นคนในตระกูลที่เสีย ชีวิตไปแล้ว นอกจากนี้ยังนับถือเทพเจ้าธรรมชาติ ในสมัยราชวงศ์ชาง มีประเพณีการใช้ “ กระดูกเสี่ยงทาย ” โดยการเขียนตัวอักษรบนกระดูกวัวหรือสัตว์ชนิดอื่น หรือบนกระดองเต่า เพื่อทำนายเกี่ยวกับการสร้างเมือง การสงคราม และเรื่องอื่น ๆขงจื๊อ ได้วางหลักปฏิบัติต่อครอบครัว พิธีกรรม ปรัชญาและจริยศาสตร์ เช่น การใฝ่หาความรู้ ความกตัญญู ความจงรักภักดี คุณธรรมเหล่านี้มีอิทธิพลต่อชาวจีนอย่างลึกซึ้ง
          4. ศิลปะและหัตถกรรม
          ภาชนะสำริดที่เก่าแก่ที่สุด พบในสมัยราชวงศ์ชาง ตอนปลายของราชวงศ์ชาง ถือว่าเป็นยุคทองของเครื่องสำริด
ช่างจีน มีฝีมือในการแกะสลักหยก
          5. ภาษาและวรรณกรรม
          การพบกระดูกเสี่ยงทายที่มีตัวอักษรจารึก ทำให้ทราบว่าในสมัยราชวงศ์ชางมีภาษาเขียนใช้แล้ว เรียกว่าอักษรภาพ วรรณกรรมที่สำคัญ ได้แก่ คัมภีร์ทั้ง 5 ของขงจื๊อ วรรณกรรมที่สำคัญอีกเล่มคือ สื่อจี้ (บันทึกประวัติศาสตร์) บันทึกโดยสื่อหม่าเฉียน ในสมัยราชวงศ์ฮั่น

ชาวพุทธตัวอย่าง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส



สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เจ้าอาวาสลำดับที่ ๓ พ.ศ.
๒๔๓๕ ๒๔๖๔

 
      สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร สืบต่อมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๓๕ ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๔๗ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแพ เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๓ มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ ทรงผนวชเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมกพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์  ครั้นทรงดำรงพระยศเป็นกรมพระ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่ ๘ เดือน จึงทรงลาผนวช เมื่อพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษาแล้ว ก็ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๒ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระจันทรโคจรคุณ (จนฺทรํสสี ยิ้ม) วัดมกุฎกษัตริยาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ประทับ ณ วัดนี้ แต่ในพรรษาที่ ๒-๓ เสด็จไปประทับที่วัดมกุฎกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร ในสำนักพระจันทรโคจรคุณ พระกรรมวาจาจารย์ที่ทรงเคารพนับถือมาก ทรงศึกษาพระปริยัติธรรม จนทรงมีพระปรีชาแตกฉานในภาษาบาลี แต่ทรงสอบเป็นเปรียญเพียง ๕ ประโยคเสมอพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมราชชนกนาถ ได้ทรงรับสถาปนาเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามว่ากรมหมื่นวชิรญาณวโรรส 

ในรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๒๔  เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์สิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงรับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตสืบต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ถึงพ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงเลื่อนพระยศเป็นกรมหลวง พ.ศ.๒๔๕๓  ได้ทรงรับมหาสมณุตตมาภิเษกและเลื่อนพระยศเป็น สมเด็จพระมหาสมณะ กรมพระยา เป็น สกลมหาสังฆปรินายก     ประธานาธิบดีแห่งพระสงฆ์ทั่วพระราชอาณาจักร ถึง พ.ศ.๒๔๖๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงสถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า

            สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงพระอัจฉริยะในวิทยาการต่างๆ หลายสาขา คือ พระพุทธศาสนาภาษาต่างๆ (เช่น บาลี อังกฤษ สันสกฤต ฝรั่งเศส และภาษาโบราณ) การศึกษา การปกครอง วิทยาการสมัยใหม่ต่างๆ อีกมาก ซึ่งจจะเห็นได้จากผลงานในด้านต่างๆ ของพระองค์ 

            สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงเป็นพระองค์หนึ่ง ที่ได้ทรงร่วมสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศชาติ ในสมัยที่ประเทศชาติกำลังปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการศึกษา ทั้งทางการศึกษาของคณะสงฆ์ทั้งทางการศึกษาของชาติ พระองค์ได้ทรงดำเนินการตั้งมหามกุฎราชวิทยาลัย ซึ่งได้มีการประกาศตั้งขึ้นโดยพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ ร.ศ.๑๑๒ ได้ทรงนำวิธีการและวิชาการแบบใหม่เข้ามาทดลองสอนและสอบในมหากุฎฯ เป็นการแรกเริ่ม ทรงให้นักเรียนในมหามกุฎราชวิทยาลัย เรียนทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาอังกฤษ ให้เรียนคณิตศาสตร์เบื้องต้นและวิชาการอย่างใหม่อื่นๆ ทรงพระนิพนธ์ตำราสำหรับเรียนภาษาอังกฤษ และตำราคณิตศาสตร์เบื้องต้นสำหรับใช้สอนในมหามกุฎราชวิทยาลัย คือ  ให้มีการสอบด้วยการเขียน มีการคิดคะแนนในการสอบเป็นเครื่องตัดสินการสอบว่าได้หรือตกและเป็นเครื่อง วัดผลการศึกษาและความรู้ความสามารถของนักเรียนโดยพระองค์ทรงเป็นผู้วาง กฎเกณฑ์ในการคิดคะแนนลงเป็นแบบแผนสำหรับใช้ในมหามกุฎราชวิทยาลัยด้วยพระองค์ เอง ทรงทดลองใช้วิธีการแบบใหม่เหล่านี้ในโรงเรียนของมหามกุฎราชวิทยาลัยจนเป็นที่นิยมแพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว และได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดี เป็นที่สนพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  และทรงสนับสนุนและสรรเสริญวิธีการเหล่านั้นว่าเป็นวิธีการที่ดี ประจวบกับในเวลานั้น 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชดำริในอันที่จะขยายการศึกษาออกไปยังหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร และมีพระราชประสงค์ให้วัด ซึ่งเป็นแหล่งศึกษาของกุลบุตรมาแต่โบราณกาลแล้ว เป็นที่ตั้งโรงเรียนสอนเด็กตามแบบและหลักสูตรที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ให้เป็นแบบเดียวกัน เป็นการตั้งต้นการศึกษาแบบปัจจุบัน และให้พระภิกษุเป็นผู้ช่วยรับภาระต่างๆ จึงได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ให้ทรงรับภาระอำนวยการให้พระภิกษุสงฆ์สั่งสอนกุลบุตร และบังคับการพระอารามในหัวเมืองตลอดพระราชอาณาจักร 
 
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระองค์นั้น ได้ทรงรับสนองพระราชประสงค์ในการนี้ และพระองค์ได้ทรงนำเอาวิธีการและแบบอย่างต่างๆ ที่เคยทรงใช้ในโรงเรียนของมหามกุฎราชวิทยาลัยมาก่อน และได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดีแล้วนั้นเอง มาเลือกใช้และจัดปรับปรุงให้เหมาะสมในการจัดการศึกษาในหัวเมือง สนองพระราชประสงค์ในการพัฒนาประเทศชาติในด้านการศึกษาให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และประโยชน์อันสำคัญอีกประการหนึ่งของมหามกุฎราชวิทยาลัยก็คือ เป็นที่ฝึกอบรมพระภิกษุทั้งในกรุงเทพฯ และจากหัวเมืองเพื่อให้เป็นครู สำหรับส่งออกไปสอนตามโรงเรียนต่างๆ ในหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร ในการนี้พระองค์ท่านต้องทรงทุ้มเทกำลังพระปรีชาสามารถ และพระวิริยะอุตสาหะอย่างมากมาย เพราะต้องทรงดำริจัดการทุกอย่างด้วยพระองค์เอง เพื่อให้การศึกษาเจริญรุ่งเรืองตามพระราชประสงค์  เช่น ทรงพระดำริจัดหาและสร้างหลักสูตรสำหรับ การเล่าเรียนของกุลบุตรในหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร ทรงแนะนำชักชวนกุลบุตรทั้งหลายให้นิยมยินดีในการศึกษา ทรงซักนำประชาชนให้เห็นประโยชน์ของการศึกษาและช่วยกันสร้างโรงเรียน เพื่อเป็นที่เล่าเรียนของบุตรหลานของพวกเขาเอง ทรงจัดฝึกอบรมพระสงฆ์ผู้มีความรู้ความสามารถให้เข้าใจในการศึกษาแล้ว  ตั้งให้เป็นผู้อำนวยการจัดการศึกษาในหัวเมืองประจำมณฑลต่างๆ และทรงเป็นผู้ที่จะต้องคอยช่วยเหลือแก้ไขปัญหาขัดข้องต่างๆ ให้ลุล่วงไป ด้วยพระปรีชาสามารถอันสุขุมคัมภีรภาพเนื่องมาจากพระดำริและการจัดการของพระองค์เป็นการเริ่มแรกนี้เอง จึงได้มีโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเกิดขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้

ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นบุคคลสำคัญพระองค์หนึ่งของชาติไทย ในด้านการวางรากฐานการศึกษาสมัยใหม่ ซึ่งได้ค่อยๆ พัฒนามาเป็นการศึกษาในระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ พระปรีชาสามารถต่างๆ  ในด้านการวางแผนและทำให้การศึกษาของชาติเจริญแพร่หลายออกไปทั่วพระราชอาณาจักรนั้น จะพบหลักฐานได้จากเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการศึกษาของชาติในสมัยนั้น

            ในด้านการศึกษาคณะสงฆ์นั้น กล่าวได้ว่า พระองค์ท่านทรงเป็นผู้ให้กำเนิดการศึกษาแบบใหม่ของคณะสงฆ์ พระองค์ทรงเปลี่ยนระบบต่างๆ เกี่ยวกับการศึกษาของคณะสงฆ์ จากระบบโบราณซึ่งยากแก่การเล่าเรียน ต้องใช้เวลามาก และไม่แพร่หลายทั่วไปแก่พระสงฆ์ มาเป็นระบบการเล่าเรียนแบบใหม่ ซึ่งทำให้การเล่าเรียนง่ายขึ้นได้ผลรวดเร็วขึ้น  และแพร่หลายออกไปสู่พระภิกษุสามเณรทั่วพระราชอาณาจักร พระองค์ได้ทรงนำหลักสูตรและวิธีการแบบใหม่ที่พระองค์ทรงดำริขึ้น มาทดลองใช้ในสำนักเรียนของวัดบวรนิเวศวิหารก่อน พระองค์ทรงใช้ตำราที่พระองค์ทรงพระนิพนธ์ขึ้นใหม่คือ การสอบโดยการเขียนแก่พระนวกะ  ในสำนักวัดบวรนิเวศวิหารเช่นเดียวกันเริ่มแต่ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๔๖) (ตามหลักฐานเอกสาร) เป็นต้นมาจนเป็นที่ตระหนักแก่พระหทัยว่า เป็นวิธีการที่ดีและให้ประโยชน์ในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมา พระองค์จึงได้ทรงนำการศึกษาแบบใหม่ที่พระองค์ทรงพระดำริขึ้น และทดลองจนเป็นที่ได้ผลนี้ มาตั้งเป็นแบบการศึกษาสำหรับพระสงฆ์ พระองค์ได้เปิดการสอบ องค์ของสามเณรรู้ธรรม ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ร.ศ.๑๓๐ (พ.ศ.๒๔๕๔) เพื่อเป็นหลักเกณฑ์สำหรับสามเณรผู้ที่ควรจะได้รับการยกเว้นจากการถูกเรียกเป็นทหาร ตามพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ร.ศ.๑๒๔ (พ.ศ.๒๔๔๘) และการศึกษาแบบใหม่นี้ก็ได้เจริญสืบมาจนปัจจุบันนี้ ดังที่ทราบกันทั่วไปในขณะนี้ว่า นักธรรม ซึ่งมี ๓ ชั้น คือนักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท และนักธรรมชั้นเอก อันเป็นการศึกษาขั้นมูลฐานของคณะสงฆ์ทั่วพระราชอาณาจักรอยู่ในบัดนี้ ทรงรจนาหลักสูตรสำหรับนักธรรมชั้นตรี-โท-เอกขึ้นใช้ เป็นเหตุทำให้พระภิกษุสามเณรมีความรู้ความเข้าใจ และประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยดีขึ้นโดยทั่วไป ทรงเปลี่ยนระบบการสอบพระปริยัติธรรมภาษาบาลีแบบแปลปาก มาเป็นแบบแปลโดยวิธีเขียน ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ทรงทดลองใช้ในโรงเรียนของมหามกุฎราชวิทยาลัยมาก่อนเช่นเดียวกัน ได้ทรงนำวิธีแปลโดยวิธีเขียน มาใช้ในการสอบสนามหลวงเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๔  ในการสอบประโยค ๑-๒


เมื่อทรงเห็นว่าเป็นการสะดวกและเป็นผลดีต่อการศึกษา จึงได้ประกาศใช้เป็นทางราชการสำหรับการสอบทุกประโยคเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๘  ซึ่งเป็นผลทำให้พระภิกษุสามเณรมีความรู้ความชำนาญในอักขรวิธี และการเขียนอ่านภาษาไทยดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ทรงปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตรสำหรับบาลีประโยคต่างๆ ให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้เล่าเรียนไปแล้วทรงชำระคัมภีร์ปกรณ์ต่างๆ สำหรับใช้เป็นหลักสูตรบาลีประโยคนั้นๆ ทรงรจนาบาลีไวยากรณ์ขึ้น สำหรับเป็นหลักสูตรในการศึกษาบาลี และทำให้การศึกษาภาษาบาลีง่ายขี้นกว่าแต่ก่อน ตำราและหลักสูตรทั้งหลายเหล่านี้ ได้ใช้สำหรับการศึกษาของคณะสงฆ์ตลอดมา ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกในยุคของพระองค์จนปัจจุบันนี้ 
 
หลักสูตรนักธรรมและบาลีที่พระองค์ทรงรจนาและชำระนี้ นอกจากจะใช้อยู่ในพระราชอาณาจักรไทยแล้ว ประเทศใกล้เคียงบางประเทศก็ได้นำไปใช้เป็นหลักสูตรบ้าง เป็นหนังสือประกอบบ้าง สำหรับการศึกษาของพระสงฆ์ในประเทศนั้นๆ อีกด้วย พระเกียรติคุณของพระองค์ ในด้านการรจนาตำรับตำราทางพระพุทธศาสนานั้น จึงมิใช่จะปรากฏอยู่เพียงภายในประเทศไทยเท่านั้น แต่ได้แพร่หลายไปในนานาประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาหรือที่สนใจในการศึกษาพระพุทธศาสนา พระนิพนธ์ที่เป็นหลักสูตรในการศึกษาทางพระพุทธศาสนาหลายเรื่องได้แปลออกเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น นวโกวาทวินัยมุข เล่ม ๑-๒  ธรรมวิภาคธรรมวิจารณ์และอุปสมบทวิธีเป็นต้น พระเกียรติคุณของพระองค์ท่านจึงเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มผู้รู้และนักศึกษาชาวต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

            ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนานั้น พระองค์ทรงตระหนักดีว่าการศึกษา และปฏิบัติธรรมนั้นเจริญแพร่หลายอยู่ในหมู่ของพระสงฆ์และในวงของนักปราชญ์บางเหล่าเท่านั้นไม่แพร่หลายไปในหมู่ประชาชนส่วนมาก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ ก็เท่ากับว่าการเผยแพร่และการปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จประโยชน์แก่มหาชนตามความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา จึงได้ทรงวางแนวแห่งการเผยแพร่พระพุทธศาสนาและจัดระดับธรรมต่างๆ สำหรับสั่งสอนพุทธศาสนิกชนให้เหมาะสมกับบุคคลในระดับชั้นนั้นๆ ที่จะศึกษาให้รู้ให้เข้าใจ และนำไปประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้อง เพื่อให้สำเร็จความมุ่งหมายดังกล่าวนี้ จึงจะได้ทรงรจนาหนังสือเบญจศีลเบญจธรรม และธรรมวิภาค ภาคคิหิปฏิบัติแสดงคำสอนเบื้องต้นของพระพุทธศาสนาสำหรับสามัญชนทั่วไปจะได้ ศึกษา และนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ทรงรจนาอรรถศาสน์ แสดงประโยชน์อันบุคคลจะพึงได้ในชาตินี้ และชาติหน้าตามคติทางพระพุทธศาสนา  อันเป็นคำสอนที่สูงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งเป็นกลาง และทรงรจนาธรรมวิจารณ์ แสดงคำสอนชั้นสูงทางพระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์แก่บุคคลผู้สนใจในการปฏิบัติธรรมชั้นสูง จะได้ศึกษาและนำไปเป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติเป็นต้น
            นอกจากนี้ ได้ทรงเป็นผู้ริเริ่มในการรจนาหนังสือธรรมแสดงคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาอย่างง่ายๆ เช่น ทรงรจนาเทศนาด้วยถ้อยคำและสำนวนแบบธรรมดา เหมาะแก่กาลและสมัย เป็นแบบอย่างสืบมาจนบัดนี้ พระดำริเริ่มในการนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงเห็นประโยชน์และเป็นที่ต้องพระราชประสงค์ ในการที่จะทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จึงได้ทรงอาราธนาให้ทรงรจนาพระธรรมเทศนาส่องไปแจกตามวัดต่างๆ ในหัวเมืองเพื่อพระภิกษุสามเณรจะได้ศึกษาและใช้เทศนาสั่งสอนประชาชน

            การคณะสงฆ์ พระองค์ก็ได้ทรงจัดการปกครองคณะสงฆ์ให้เข้าระเบียบอันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก การที่ทรงจัดการศึกษาหัวเมืองซึ่งอาศัยผู้อำนวยการศึกษามณฑลต่างๆ และพระสงฆ์ทั่วพระราชอาณาจักรรายงานความเป็นไปของคณะสงฆ์ให้ทรงทราบ จึงได้เกิดมีพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.๑๒๑ (พ.ศ.๒๔๔๕) ขึ้นเป็นครั้งแรก ตามพระราชบัญญัตินี้ จัดแบ่งส่วนการปกครองเป็นส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีเถรสมาคม มีเจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะตามลำดับชั้น จนถึงเจ้าอาวาสปกครองบังคับบัญชากันเป็นชั้นๆ ตามลำดับ เถรสมาคมอยู่ในฐานะเป็นที่ทรงปรึกษาในการพระศาสนาของพระมหากษัตริย์ พระองค์ประทับเป็นประธานในเถรสมาคม ทรงประชุมปรึกษาและประทานพระมหาสมณวินิจฉัย ทรงวางระเบียบต่างๆ  อันเป็นการส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัยด้วยความเรียบร้อย ทรงสอดส่องดูแลให้พระภิกษุสามเณรประพฤติอยู่ในสมณวิสัย ต่อมาในรัชกาลที่๖ (พ.ศ.๒๔๕๓) จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าถวายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์แด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส นับเป็นครั้งแรกที่พระสงฆ์ได้ปกครองกันเอง เพราะก่อนแต่นั้น คณะสงฆ์ไม่ได้มีอำนาจปกครองกันเอง จึงทำให้เกิดการอากูลหลายอย่าง แต่เมื่อทรงจัดการปกครองคณะสงฆ์ให้มาอยู่กับพระเถระตามลำดับชั้น ก็ทำให้การปกครองคณะสงฆ์เป็นระเบียบเรียบร้อยและเป็นสัดส่วน ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้

            สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แม้ว่าจะทรงเป็นเจ้านายสุขุมาลชาติ แต่ในสมัยที่ทรงบริหารการคณะสงฆ์ และทรงจัดการศึกษาของชาติในส่วนหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร ก็ได้เสด็จออกไปตรวจการณ์การคณะสงฆ์และการศึกษาในหัวเมืองมณฑลต่างๆ ทั่วพระราชอาณาจักรเท่าที่จะสามารถเสด็จไปถึงเป็นครั้งคราวอยู่เสมอ บางแห่งที่เสด็จไป ต้องทรงลำบากพระวรกายเป็นอย่างมากบ่อยครั้งต้องเสด็จดำเนินไปด้วยพระบาทเปล่า จากตำบลหนึ่งไปสู่อีกตำบลหนึ่ง แต่พระองค์ก็ทรงมีพระขันติและวิริยะอุตสาหะ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนาและการศึกษาของชาติ โดยมิเคยทรงนำพาถึงความทุกข์ยากส่วนพระองค์

            พระจริยาวัตรต่างๆ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นดังกล่าวมาแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่า ได้ทรงพระปรีชาสามารถเพียงไหน ทรงบำเพ็ญประโยชน์อันเป็นพระคุณูปการแก่พระศาสนาและประเทศชาติเพียงไร ทรงดำรงพระชนมชีพอยู่เพื่อความเจริญวัฒนาการของพระศาสนาและชาติโดยแท้ สมเป็นปูชนียบุคคลที่ควรเคารพบูชาของชาติไทย เป็นผู้ที่อนุชนจะพึงเคารพบูชาและถือเป็นเนตติแบบอย่างในการบำเพ็ญประโยชน์แก่พระศาสนาและประเทศชาติสืบไป

            สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระมหากษัตริย์  ๒ พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าและพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าอีกหลายพระองค์  ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายกได้ ๑๒ ปี ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารได้ ๒๙ ปี สิ้นพระชนม์ เมื่อ วันที่๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๔ พระชนมายุ ๖๒ พรรษา


พระพุทธมนุสสนาค เป็นพระพุทธรูปยืนครองจีวรคลุมทั้ง ๒ พระอังสา ประดิษฐานด้านสกัดทางทิศตะวันตกเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์และบรรจุพระอังคารของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู้ครองวัดบวรนิเวศวิหารเป็นองค์ที่ ๓  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างนำมาประดิษฐานในพุทธศักราช ๒๔๗๓  พระพุทธรูปฉลองพระองค์นี้ได้นามตามพระนามฉายาของพระองค์ว่า มนุสฺสนาโค

ชาวพุทธตัวอย่าง ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์


ศาตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์

ประวัติ

     ศาตราจารย์สัญญา  ธรรมศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2450 เป็นบุตรของมหาอำมาตย์ตรี พระยาธรรมสารเวทย์เศษภักดี  ศรีสัตยาวัตตาพิริยพาหะ ( ทองดี ธรรมศักดิ์ ) กับคุณหญิงชื้น ธรรมศักดิ์ และได้สมรสกับคุณหญิงพะงา เพ็ญชาติ มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายชาติศักดิ์ ธรรมศักดิ์ กับนายแพทย์จักรธรรม  ธรรมศักดิ์


1.ชีวิตการศึกษา 
     นายสัญญา  ธรรมศักดิ์ เมการศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก ขณะที่อายุได้ 11 ปี บิดาก็เสียชีวิตลง ทำให้ชีวิตที่ราบเรียบสุขสบายเปลี่ยนไปได้รับความยากลำบาก เพราะขาดหัวหน้าครอบครัว ซึ่งในระหว่านี้ก็ได้มีพระอรรถกฤคินิรุตติ์ ( ชม เพ็ญชาติ )เข้ามาให้ความช่วยเหลือดูแลเอาใจใส่ในทุกๆด้าน

เมื่อ ท่านเรียนจบจากโรงเรียนอัสสัมชัญ คุณหญิงชื้นผู้เป็นมารดาก็นำไปฝากฝังไว้กับเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร ( ม.ร.ว. ลพ สุทัศน์ ) ผู้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมระท่านจึงได้ทำงานเป็นนักเรียนล่ามประจำ กระทรวง และได้เข้าเรียนวิชากฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ระหว่างนั้นก็ได้อุปสมบทที่วัดเบญจมบพิตร และได้ศึกษาพระธรรมวินัย  จนสอบไล่นักธรรมตรีได้ที่ 1

หลังจากจบการศึกษาเป็นเนติบัณฑิตไทย จากโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ก็ได้สอบชิงทุน “รพีบุญนิธิ” ไปศึกษาวิชากฎหมายที่สำนักกฎหมาย  The  Middle  Temple  ประเทศอังกฤษ ตามหลักสูตร 3 ปี แต่ท่านใช้เวลาศึกษาเพียง 2 ปี 3 เดือน ก็สำเร็จเนติบัณฑิตอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.2476


2. ชีวิตการทำงาน 
     หลังสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ สัญญาได้เข้ารับราชการที่กระทรวงยุติธรรม ในตำแหน่งผู้พิพากษาฝึกหัด จากนั้นก็มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ข้าหลวงยุติธรรมภาค 4 ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเชียงใหม่ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้พิพากษาศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และประธานศาลฎีกา ตามลำดับ

ขณะ ที่ท่านรับราชการอยู่ที่กระทรวงยุติธรรม นอกจากท่านจะใช้วิชาความรู้ทางด้านกฎหมาย เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองแล้ว บทบาทที่เด่นชัดอีกด้านหนึ่ง ก็คือบทบาททางด้านศาสนาโดยได้ร่วมก่อตั่ง “พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย” ซึ่งท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ร่างข้อบังคับของสมาคม จนได้จดทะเบียนตั้งเป็นพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยเป็นผลสำเร็จ เมื่อ พ.ศ. 2476

หลัง จากเกษียณอายุราชการแล้ว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2511 และได้รับเชิญให้เป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2514 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งขณะที่ดำรงตำแหน่งได้พัฒนามหาวิทยาลัยทั้งในด้านวิชาการ ด้านการบริหาร และการสร้างสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนการหาอุปกรณ์ต่างๆ ที่อำนวยประโยชน์ทางการศึกษาไว้มากมายเช่น จัดตั้งคณะวารสารศาสตร์และสื่อมวลชน เป็นต้น

ใน ขณะที่ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เกิดความไม่สงบทางการเมืองขึ้น มีการเดินขบวนเรียกร้องรัฐธรรมนูญของนิสิตนักศึกษาและได้เกิดการปะทะกัน ระหว่างรัฐบาลกับนิสิตนักศึกษา จนเกิดจลาจลขึ้นในบริเวณกว้างและกลายเป็นโศกนาฏกรรมวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทำให้จอมพลถนอม  กิติขจร ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ ศาตราจารย์สัญญา  ธรรม ศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ขณะดำรงตำแหน่งท่านก็ได้พยายามแก้ไขปัญหาอย่างประนีประนอม และได้ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 เพราะถูกกดดันจากฝ่ายต่างๆซึ่งเรียกร้องให้ทำในสิ่งที่กลุ่มของตนต้องการ และเปิดทางให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติเลือกนายกรัฐมนตรีที่พอใจ

อย่างไรก็ตาม การลาจากตำแหน่งนายกรัฐมลตรีก็มีผลอยู่ 2 วัน

เท่า นั้น เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติให้เลือกศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายก อีกครั้งหนึ่ง ฃึ่งตลอดระยะเวลาที่ได้รับบริหารราชการแผ่นดิน ศาสตราจารย์  ธรรม ศักดิ์ ก็ได้สร้างคุณูปการให้กับประเทศชาติอย่างมากเป็นอเนกอนันต์ เช่น การออกกฎหมายปฎิรูปที่ดินและพระราชบัญิญัติว่าด้วยการเช่านา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่ชาวนา การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของกรรมการผู้ใช้แรงงาน ด้วยการออกกฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์  และการปฎิรูปการศึกษา เริ่มนโยบายพึ่งพาการส่งออกและการนำเข้ามากขึ้น  เพื่อสนับสนุนการลงทุนให้หยั่งรากเติบโตขึ้นในระบบเศรษฐกิจไทย  พร้อมกับสนับสนุนส่งเสริมระบบสหกรณ์ตามแนวพระราชดำริทำให้ระบบเศรษฐกิจพึ่ง พาตนเองของประชาชนเจริญเติบโตขึ้น  และ ที่สำคัญได้แต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤตมิชอบใน วงราชการ (ป.ป.ป.) ขึ้นและได้ออกกฎหมายรับรองสถานะต่อมาจนได้เป็นของคณะกรรมการปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ป.) ดังที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในปัจจุบันนี้

รัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์  สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2418หลังจากการเสร็จสิ้นการมอบหมายงานให้กับ ม.ร.ม. เสนีย์  ปราโมช หัวหน้ารัฐบาลชุดใหม่  ที่มาจากการเลือกตั้ง

หลังจากพ้นจากตำแหน่งนายก

รัฐมลตรี  ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า           ให้เป็นองค์มลตรีในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2518 จนถึง

วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ก็ได้รับมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า  ให้เป็นประธานองมลตรีตลอดมา


3. ศาสนา งานด้านพระศาสนา

     ศาสตราจารสัญญา  ธรรมศักดิ์ เป็นผู้ใส่ใจพุทธศาสนามาตังแต่รุนหนุ่ม  และเป็นผู้ศึกษาถึงพุทธรรมอย่างลึกฃึ้ง  โดยได้อุทิศตน        ให้เก่งงานพระพุทธศาสนามายาวนานกว่า  40 ปี  ท่านได้เรียนรู้พระธรรมคำสั่งสอนขององ๕สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และปรัชญาแห่งพระพุทธศาสนา  จากท่านเจ้า คุณพระเทพมุนีแห่งวัดเบณจมบพิตร  ทั้งได้มีโอกาสสนทนาธรรม  และศึกษา พระพุทธนาธรรมอย่างกว้างขวาง กับท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ  แห่ง วัดสวนโมกขพลาราม จนเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านทุ่มเทการทำงานให้กับพุทธมาคมแห่งประเทศไทยอย่าง เต็มที่และเป็นที่ได้รับบทบาทต่อการส่งเสริมพระพุทธศาสนาโดยได้ดำรงตำแหน่ง นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย  และเป็นองค์การพุทธศาสนาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกยาวนานถึง  15 ปี ซึ่งตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ให้เกิดแก่อง๕การพุทธ ศาสนาเป็นอเนกประการ  ทำให้องค์การพุทธศาสนาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกเป็นปึกแผ่นมั่นคงและวัฒนาถาวร  เป็นศูนย์รวมแห่งการเรียนรู้และการศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาของพุทธ ศาสนิกชนทั่วโลกอย่างสมบูรณ์  จนได้รับเหรียญเชิดชูเกรียติ ชั้นที่ 1  ในวาระฉลองครบรอบ 50 ปี ขององค์การพุทธศาสนิกชนสัมพันธ์โลก  เมื่อวันที่  6 ธันวาคม พ.ศ. 2543 ในฐานะบุคคลผู้คุณูปกรแก่องค์การพุทธศาสนา ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของชาวพุทธทั่วโลก

ศาสตราจารย์สัญญา  ธรรมศักดิ์  ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.L. 2545 สิริรวมอายุได้  94 ปี


คุณธรรมที่ควรถือเป็นแบบอย่าง

   1.เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ แม้จะเป็นลูกพระยา   แต่เมื่อสิ้นบิดา   ชีวิตก็ลำบากมีแม่คนเดียวิที่จะมาเกื้อหนุน มีพี่ชายคนโตฃึ่งเป็นข้าราชการกรมรถไฟ  ฃึ่งจะหวังเป็นที่พึ่งพาให้ได้  แต่พี่ชายก็มาเสียชีวิตขณะท่านเรียนอยู่ต่างแดนโชคดีที่ครอบครัวคหบดีฃึ่ง เป็นศิษย์ของบิดาท่านให้ความอนุเคราะห์
สนับสนุนให้เรียนและเข้าทำงาน ต่อมาท่านได้ทุน “รพับุญนิธิ” ไปศักษาวิชากฎหมายยังประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นทุนที่เอาดอกผลจากนูลนิธิมาใช้ ท่านจึงได้เงินใช้จ่ายประจำเดือนน้อยกว่านักเรียนทุนคนอื่นๆ ความจำกัดด้านทุนจึงกลายเป็นแรงขับที่สำคัญทำให้ท่านได้ใฝ่เรียนมากขึ้น เมื่อไม่ได้เที่ยวสนุกสนานกับคนอื่น เพราะเงินไม่มีก็เข้าห้องสมุดอ่านตำราด้วยความวิริยอุตสาหะจนสามรถสอบเป็น เนติบัณฑิตอังกฤษได้ในเวลาเพียง 2 ปี 3 เดือน ของหลักสูตร 3 ปีเต็ม ความใฝ่รู้ใฝ่เรียนของท่านได้ติดตัวมาตลอด จนในภายหลังได้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาและปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดคนหนึ่ง


   2. เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ในช่วงที่ตกยากเพราะสิ้นบิดานั้นพระยาอรรถกฤตินิรุตติ์ ( ชม เพ็ญชาติ) ซึ่งเป็นศิษย์ของบิดาที่ได้ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เรียนและให้ทำงาน ท่านถือว่าชีวิตของท่านนอกจากแม่แล้วยังมีท่าสนผู้นี้เป็นผู้มีความอุปการ คุณจึงมีความรู้ศึกเป็นหนี้บุญคุณอย่างมาก เมื่อมีโอกาสสนองคุณท่านก็ยินดีทำเต็มความสามารถ อาจารย์สัญญาได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ท่าน เจ้าคุณอรรถกฤตินิรุตติ์เป็นผู้เดียวที่หมั่นมาเยี่ยมเยียนถามทุกข์สุข และให้กำลังใจแกแม่และข้าพเจ้า และในที่สุดท่านก็เป็นผู้ชักนำและรับรองให้ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนวิชากฎหมาย เมื่ออายุ 18 ปี และได้อบรมสั่งสอนให้กำลังใจตลอดมาจนข้าพเจ้าไต่เต้าเป็นตัวเป็นตนมาจนถึง วันนี้


   3. เป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริต  อาจารย์ สัญญาเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุจริตเนื่องจากท่านได้รับการหล่อหลอมโดยสาย เลือดจากบิดาผู้เป็นนักกฎหมายที่ซื่อสัตย์ ยุติธรรมตลอดถึงแบบอย่างที่ดีจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีบุญคุณ เช่น พระยาอรรถกฤตินิรุตติ์ผู้มีพระคุณทำให้ท่านเป็นผู้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ สุจริต ยุติธรรมยิ่งชีวิต รับราชการเกี่ยวกับกฎหมายเป็นผู้พิพากษา ตุลาการ ที่ยึดมั่นในคุณธรรมจนปรากฏแก่สายตาของสังคม ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า “ ความดีนั้นไม่ใช่สิ่งที่หายากเลย ไม่ต้องไปมองหาที่ไหน หาที่ตัวเราเอง ความดีทั้งหลายอยู่ที่ตัวเรานั่นแหละ”


   4. เป็นผู้ใฝ่ธรรม ท่านได้อุปสมบทเมื่ออายุครบ 20 ปี ได้สัมผัสกับความร่มเย็นแห่งพระธรรมลาสิขามาแล้วก็ใส่ใจศึกษาธรรมตลอดเวลา และได้ศึกษาธรรมจากท่านพุทธทาสภิกขุแห่งวัดสวนโมกขพลาราม นับเป็นผู้รู้ธรรมะลึกซึ้งและปฏิบัติตามได้คนหนึ่ง ท่านได้ดำรงตำแหน่งนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย และประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกยาวนานถึง 15 ปี และได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติชั้นที่ 1     ( WFB GRAND MERIT MEDALA ) ในฐานะบุคคลผู้มีคุณูปการแก่องค์การพระพุทธศาสนา


   5. เป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจารย์สัญญาเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มิใช่จงรักภักดีแต่เพียงในใจเหมือนพสกนิการอื่นๆ แต่มีโอกาสได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด ได้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีและประธานองคมนตรีโดยลำดับเป็นเวลานานถึง 30 ปี ได้ใช้ความรู้ความสามารถสนองพระเดชพระคุณใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างถวายชีวิต ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ดังประจักษ์พยานหลักฐานจากจดหมายของดร. เชาน์ ณ ศีลวันต์ ถึงอาจารย์สัญญาว่า “กระผมได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ  พระ ตำหนักจิตรลดา มีเรื่องหนึ่งที่สั่งให้กระผมเชิญพระราชกระแสรับสั่งมายังท่านประธานว่า ที่อาจารย์สัญญาทำงาน (รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ) มาโดยตลอด ยังไม่เคยทำอะไรผิดพลาดบกพร่องแม้แต่ครั้งเดียว”