ชนชาติไทยเป็นชาติที่มีพระมหากษัตริย์ปกครอง
มายาวนานและต่อเนื่อง แม้จะมีการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์บ้าง
แต่ก็ไม่เคยว่างกษัตริย์
และทุกพระองค์ก็ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อบ้านเมืองและประชาชนต่าง ๆ
กันไปตามความจำเป็นหรือเหมาะสมสำหรับยุคสมัยนั้น ๆ
ไพร่บ้านพลเมืองเองก็มีความจงรักภักดีและเทิดทูนพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด
และเนื่องในมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระ-ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย
เดชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙
แห่งพระบรมราช-จักรีวงศ์จะครบ ๖๐ ปี ณ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ อันจะนับได้ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกด้วยเมื่อเทียบกับบรรดากษัตริย์ที่ทรงเป็นประมุขในปัจจุบัน จึง
จะขออัญเชิญ พระราชกรณียกิจา นัปการ อันกอปรด้วยพระปรีชาสามารถ
และพระเมตตาที่ได้ทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทย
ตลอดจนความจงรักภักดีที่ทวยราษฎร์มีต่อพระองค์มาเผยแพร่เพื่อเฉลิมพระ
เกียรติตลอดปีแห่งการเฉลิมฉลองดังต่อไปนี้
พระมหากษัตริย์ไทยกับพระพุทธศาสนา
ในเรื่องของการยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาของชนชาติไทย
ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏอยู่หลาย
ทาง
ไม่ว่าจะจากการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระเจ้าอโศก-มหาราชเข้ามาทางอาณาจักร
สุวรรณภูมิ (ปัจจุบันคือนครปฐม) เมื่อปี พ.ศ.๒๓๔
หรือจากศิลาจารึกเก่าแก่ชื่อว่า “จารึกอาณาจักรน่านเจ้า”
ที่เชื่อกันว่ากระทำโดยนักปราชญ์จีน “เชงเหว” เมื่อปี พ.ศ.๑๓๐๙
จึงกล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาตั้งแต่โบราณกาล
และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ก็ล้วนทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อการทำนุ
บำรุงและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาสืบต่อมาทั้งสิ้น
แม้องค์ปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ก็ได้ทรงแสดงพระราชปณิธานไว้ในนิราศท่าดินแดงว่า
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”
ซึ่งก็ได้ทรงปฏิบัติตามพระราชปณิธานนั้นมาโดย
ตลอด และพระมหากษัตริย์รัชกาลต่อๆ
มาก็ได้ทรงทำนุ-บำรุงพระพุทธศาสนาทุกพระองค์อย่างต่อเนื่องจนถึงรัชกาล
ปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นทรงสนพระราชหฤทัยในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ ทรงพระเยาว์ ทรงเคยได้รับการปลูกฝังความรู้ความเข้าใจจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนี มาก่อนแล้ว ต่อมายังได้ทรงศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เอง และทรงศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง จึงเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงแถลงพระราชดำริที่จะบรรพชาอุปสมบท ต่อมหาสมาคม อันประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และคณะทูตานุทูตความตอนหนึ่งว่า
“โดย ที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง เนื่องในบรรดาสัจธรรมคำสั่งสอนอันชอบด้วยเหตุผล จึงเคยคิดอยู่ว่าถ้าโอกาสอำนวย ข้าพเจ้าควรจักได้บวชสักเวลาหนึ่งตามราชประเพณี ซึ่งจักเป็นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบุพการีตามคตินิยมด้วย และนับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากพระเชษฐาธิราช ก็ล่วงมากว่าสิบปีแล้ว เห็นว่าน่าจะถึงเวลาที่ควรจะทำตามความตั้งใจไว้นั้นแล้วประการหนึ่ง อนึ่ง การที่องค์สมเด็จพระสังฆราชหายประชวรมาได้ในคราวประชวรครั้งหลังนี้ก่อให้ เกิดความปิติยินดีแก่ข้าพเจ้ายิ่งนัก ได้มาคำนึงว่าถ้าในการอุปสมบทของข้าพเจ้า ได้มีองค์สมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วก็จักเป็นการแสดงออกซึ่งความศรัทธาเคารพในพระองค์ท่านของข้าพเจ้าได้ อย่างเหมาะสมอีกประการหนึ่ง จึงได้ตกลงใจที่จะบรรพชาอุปสมบทในวันที่ ๒๒ เดือนนี้”
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๙ โดยสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (มรว.ชื่น นพวงศ์) ฉายาสุจิต.โต วัดบวรนิเวศวิหารทรงเป็นพระราชอุปัชฌาย์ ระหว่างที่ทรงผนวชพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญพระราชจริยาวัตร ดุจพระนวกะทั่วไป ทรงศึกษาพระธรรม และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้นยังได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ราษฎรได้เฝ้าถวายธูป เทียน-ดอกไม้ทุกวัน แล้วได้ทรงนำธูปเทียน-ดอกไม้นั้นไปถวายสักการะบูชาพระรัตนตรัยในโอกาสเสด็จ ทำวัตรเป็นประจำทุกเช้าทุกเย็น ทั้งยังเสด็จพระราชดำเนินออกทรงรับบาตรจากประชาชนทั่วไปอีกด้วย ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงอยู่ในสมณเพศนั้น ได้ทรงตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งก็ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจได้เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลาผนวชแล้ว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระอภิไธยให้เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๙
ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก
เป็น ที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเป็นผู้ที่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมในพระ พุทธศาสนาจนรอบรู้หลักธรรมอย่างละเอียด แจ่มแจ้ง และลึกซึ้ง แต่พระองค์ก็มิไดทรงกีดกันศาสนาอื่น ตรงกันข้ามกลับทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อทุกศาสนา ดังพระราชกรณียกิจที่จะขออัญเชิญมาบางส่วนดังนี้
ในทางพระพุทธศาสนา
นอก จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพอพระราชหฤทัยที่จะฟังธรรม – สนทนาธรรมกับพระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและปฏิบัติธรรมด้วยพระองค์เอง แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่เกื้อหนุนพระพุทธ ศาสนาอีกนานัปการ เช่น
- พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่สามเณรที่สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อจะอุปสมบทให้เป็นนาคหลวง
- โปรดเกล้าฯ ให้จัดรายการธรรมะสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ทางสถานีวิทยุอ.ส. เพื่อเผยแพร่ศีลธรรม
- โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร., พระพุทธนวราชบพิตร และพระพุทธรูปพิมพ์หรือพระกำลังแผ่นดินที่เรียกกันว่า “หลวงพ่อจิตรลดา”
- โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นประธานกรรมการอำนวยการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามจนเสร็จ สมบูรณ์งดงาม ทันงานฉลองสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ครบ ๒๐๐ ปี (เริ่มดำเนินการ พ.ศ. ๒๕๑๙ ถึง พ.ศ.๒๕๒๕) เสด็จพระราชดำเนินบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ทั้งยังเสด็จพระราช-ดำเนินร่วมพิธีทางศาสนาตามคำกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จฯ เนืองๆ
-
ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ทรงมีพระบรมราชโองการให้มีการสังคายนาตรวจชำระพระไตรปิฎก
ซึ่งได้ดำเนินการสำเร็จทันวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๐
ในมหามงคลวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ
ได้พิมพ์แล้วเสร็จทั้งฉบับบาลีและฉบับแปลเป็นภาษาไทย
ประเทศไทยมีการศึกษาพระไตรปิฏกมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
และได้มีการแปลเป็นภาษาไทยบางส่วนสืบต่อมาโดยตลอด
แต่การแปลมาแล้วเสร็จครบชุดในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้เอง
ทั้งต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๑
มหาวิทยาลัยมหดิลยังได้นำข้อความในพระไตรปิฎกรวมหลายสิบล้านตัวอักษรเป็น
จำนวน ๔๕ เล่ม เข้าจานแม่เหล็กชนิดแข็ง(HARD DISK)
เพื่อนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถเรียกคำไหน ในเล่มใด
หน้าใดก็ได้มาปรากฎในจอภาพทันที
นับเป็นครั้งแรกของโลกที่มีพระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับคอมพิวเตอร์อันเป็น
เกียรติประวัติสูงสุดของประเทศไทย
ซึ่งก็ได้สำเร็จลงในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยเช่นกัน
ต่อมายังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้มหาวิทยาลัยมหิดลดำเนินการ
เพิ่มข้อความภาษาบาลีในหนังสืออธิบายพระไตรปิฎกเรียกว่า “อรรถกถา”
และคำอธิบายอรรถกถาที่เรียกว่า “ฎีกา” รวมเป็นหนังสือทั้งสิ้น ๙๘ เล่ม
ให้สามารถเรียกข้อความที่ต้องการมาปรากฎในจอภาพ
และพิมพ์ข้อความนั้นเป็นเอกสารได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที
ซึ่งงานนี้สำเร็จก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๔
นับเป็นพระราชกรณียกิจที่ส่งเสริมและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างสำคัญยิ่ง
เป็นความสำเร็จที่มีคุณค่าสูงต่อการศึกษาค้นคว้าของวงวิชาการเกี่ยวกับพระ
พุทธศาสนาทั่วโลกทีเดียว มิใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น
กราบส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ตอบลบกราบส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ตอบลบ